ลายทอผ้า เป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้ที่ทำการทอผ้าและโรงงานทอป้ายควรมี เพื่อที่จะสามารถทำการทอผ้าชนิดต่างๆ ได้แตกต่างกัน ตามความต้องการ
ในการทอผ้า หรือการทำป้ายทอลาเบล จะต้องมีความรู้พื้นฐานของลายทอหรือแพทเทิร์นต่างๆ ของการทอผ้า ซึ่งจะทำให้การทอผ้าให้ลายผ้าหรือรูปภาพออกมาแล้วมีความสวยงาม และมีความน่าสนใจ ซึ่งแต่ละรูปแบบของการทอจะให้ ลวดลาย ความนุ่ม ความเรียบสบาย ความหนา และความทนทาน ไม่เหมือนกัน โดยที่บางรูปแบบของการทอผ้าบางส่วนเท่านั่น ที่สามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้กับการทอป้ายลาเบล
การทอผ้าเป็นการนำเส้นด้ายพื้นและเส้นด้ายพุ่งมาสานกัน โดยที่ด้ายพื้น (Warp yarns) จะถูกร้อยขึงตึงในบีมของด้ายหรือเครื่องทอผ้า ในขณะที่ด้ายพุ่ง (Weft yarns) จะสอดเข้าไปในด้ายพื้นข้างบนหรือข้างล่าง แล้วแต่ว่าจะมีรูปแบบการทอ (Fabric weave) แบบไหน ซึ่งโดยลักษณะการทอขั้นพื้นฐานจะประกอบไปด้วย ลายทอแบบธรรมดา ( plain), การทอลายทแยง (twill), และการทอแบบซาติน ( satin) ซึ่งลายทอทั้ง 3 แบบจะมีการนำมารวมกันเพื่อให้เกิดลายทอใหม่ๆ
ประเภทต่าง ๆ ของผ้าทอ
Table of Contents
1. การทอผ้าหรือป้ายทอแบบลายธรรมดา ( Plain Weave )
เป็นการทอที่ง่ายที่สุด แต่ทำให้ได้ผ้าที่มีความทนทาน เพราะมีการสานของด้ายพุ่งเข้าไปในด้ายพื้น แบบบน 1 ล่าง 1
ข้อดีของการทอแบบนี้คือ มีความทนทาน และจะได้ผ้าที่มีคุณภาพ สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการทอแบบทาเฟตต้า (Taffeta)
Hopsack
เป็นการทอแบบธรรมดา (plain weave) แบบหนึ่ง แต่การสานของด้ายพุ่งเข้าไปในด้ายพื้นจะมากกว่าแบบ 1 : 1 ขึ้นไป เช่น การสานของด้ายพุ่งเข้าไปในด้ายพื้นเป็นแบบ บน 2 ล่าง 2
2. การทอผ้าแบบลายซี่โครง ( Rib Weave )
เป็นลักษณะการทอแบบธรรมดา (plain weave) แบบหนึ่ง เช่น การใช้ด้ายพุ่งที่มีความใหญ่กว่าเดิมเข้ามาทอทำให้ได้เนื้อผ้าที่หนาขึ้น
3. การทอผ้าแบบลายตระกร้า ( Basket Weave )
เป็นการทอแบบธรรมดา (plain weave) แบบหนึ่ง เช่น การใช้ด้ายพุ่งสานด้ายยืนแบบ บน 2 ล่าง 2
ผลการทอแบบนี้จะได้ผ้าที่ด้าน มีความยืดหยุ่น มีโครงสร้างที่หลวมกว่า มีความคงทนน้อยกว่าการทอแบบธรรมดา (plain weave) อาจหดตัวเมื่อซัก ยากต่อการเย็บ ตัวอย่างของผ้าแบบนี้คือ ผ้าแคนวาส, ผ้าขนเป็ด, ผ้าของพระ
4. การทอผ้าแบบลายทแยง ( Twill Weave )
เป็นการทอโดยใช้ด้ายพุ่งเข้าไปในด้ายพื้นในอัตราส่วนของ ด้ายพุ่ง : ด้ายพื้น = 1 : 2 เช่น ตามภาพด้านล่าง
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทอ จะได้ผ้าที่อ่อนนุ่ม และทนทานแข็งแรง มีลายแนวทแยงจากซ้ายไปขวา หรือ ขวาไปซ้าย แต่เนื้อผ้ามีพื้นผิวเรียบ ด้านหลังของการทอแบบนี้มีความหยาบ และจะแสดงลายผ้าตรงกันข้ามกับด้านหน้า การทอผ้าแบบทวิลนี้มีความทนทาน น้ำหนักมากและทนต่อรอยยับได้ดีกว่าผ้าธรรมดา ถ้าลายทวิลเริ่มจากซ้ายบนมาล่างขวา เรียกว่า left hand twill หรือ S twill แต่ถ้าลายทวิลเริ่มจากขวาบนมาล่างซ้าย เรียกว่า right hand twill หรือ Z twill ถ้านำทั้งสองลายมารวมกัน เรียกว่า broken twill
รูปแบบต่างๆของการทอทวิล:
ตัวอย่างของด้ายพื้น (Warp) และ ด้ายพุ่ง (Weft) สามารถมีอัตราส่วน 2:1, 3:1
5. การทอผ้าแบบลายก้างปลา ( Herring Bone Weave )
การทำ left hand twill และ right hand twill มารวมกัน จะทำให้ได้ ลายทอแบบก้างปลา ( Herring Bone Weave )
การทอแบบก้างปลายังสามารถเรียกเป็นชื่ออื่นได้ว่า ลายทอแบบขนนก (Feather twill) หรือ ลายทอแบบหัวลูกศร (Arrow Head Twill)
ลายเปลือกหอย ก็เป็นการรวมกันของลายทอแบบ left hand twill และ right hand twill ที่เหมือนกับเปลือกหอย
6. การทอผ้าแบบลายซาติน ( Satin Weave )
เป็นการทอทวิลแบบหนึ่ง โดยให้ด้ายพุ่งลอยอยู่ด้านบนของด้ายพื้นทำให้มีความเรียบและเงางาม เช่น ตามภาพด้านล่าง ด้ายพุ่งจะลอยอยู่ด้านบนของด้ายพื้นจำนวน 4 เส้น แล้วจะอยู่ด้านใต้ของด้ายพื้นเส้นที่ 5 เส้นใยที่ใช้คือเส้นใย ฟิลาเมนท์ เช่น ไหมหรือไนลอน ผ้าที่ได้จากการทอแบบนี้จะเรียบเนียนและเงางาม มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นสูง มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นเพราะว่าเส้นด้ายพุ่งลอยอยู่บนด้ายพื้นหลายเส้น ในการทำป้ายทอ จะกำหนดให้การทอผ้าซาตินมีความหนาแน่นมากกว่าป้ายทอธรรมดา 2 เท่า ทำให้มีความเงางาม หนา นุ่ม สวยงาม
7. การทอผ้าต่วน ( Sateen Weave )
เป็นผ้าที่ทอโดยใช้โครงสร้างของซาติน เป็นการทอโดยให้ด้ายพื้นหลายเส้นลอยอยู่ด้านบนของด้ายพุ่งก่อนที่จะตัดกัน ทำจากเส้นด้ายแทนที่จะใช้เส้นใย มีความเงางามและนุ่มนวล ภาพ A เป็นลายทอผ้าซาติน ภาพ B เป็นลายทอผ้าต่วน
8. การทอผ้าเรโน ( Reno Weave )
เส้นด้ายพื้น 2 เส้นหรือมากกว่าพันหรือบิดรอบด้ายพุ่ง 1 หรือหลายเส้นด้าย เพื่อให้ได้เนื้อผ้าที่แข็งแรง
9. การทอผ้าอ๊อกฟอร์ด ( Oxford Weave )
เป็นการทอแบบตระกร้า (Basket weave) แบบหนึ่ง โดยที่ด้ายพุ่ง (Weft yarns) หลายๆเส้นไปสานกับด้ายพื้น (Warp yarns) หลายๆเส้น ในจำนวนเท่าๆกัน ของด้ายพื้น ส่วนมาก 1 สีของด้ายพุ่งจะไปตัดกับด้ายสีขาวของด้ายพื้น ทำให้เกิด 2 โทนสี การสานของเส้นด้ายแบบสองต่อสองทำให้เกิดความหยาบเล็กน้อย แต่เกิดความทนทานมากที่สุด
10. การทอผ้าแบบเส้นเบดฟอร์ด ( Bedford Cord Weave )
สายเบดฟอร์ดตั้งชื่อตามเมืองนิวเบดฟอร์ดรัฐแมสซาชูเซตส์ซึ่งเป็นเมืองผลิตสิ่งทอในศตวรรษที่ 19 ที่มีชื่อเสียงเป็นผ้าที่มีความทนทานซึ่งมีลักษณะคล้ายผ้าลูกฟูก การสานมีสันตามยาวเล็กน้อย แต่ไม่มีเส้นด้ายเติมที่ทำให้ลักษณะของผ้าลูกฟูกแตกต่างกัน อาจมีลักษณะเป็นแถบกว้างแคบโดยมีเส้นบางๆ คั่นเนื่องจากผ้าชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแรง จึงมักใช้ในการหุ้มเบาะหรือทำเสื้อชั้นนอก หรือทำกางเกง
11. Waffle Weave
ผ้าวาฟเฟิลหรือที่เรียกว่าผ้ารังผึ้งมีการร้อยด้ายที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก สามารถทำได้โดยการทอหรือถัก การสานวาฟเฟิลเป็นการใช้ประโยชน์เพิ่มเติมจากการสานธรรมดาและการสานสิ่งทอลายทแยงซึ่งก่อให้เกิดเอฟเฟกต์สามมิติ การรวมกันของการบิดงอและการลอยผ้าทำให้เกิดโครงสร้าง ทอบางส่วนบนพื้นที่ลายตารางที่ล้อมรอบด้วยสันเขาที่ลอยเป็นแนวยาว การสานประกอบด้วยวาร์ปและลอยผ้าที่จัดเรียงรอบศูนย์กลางการสานธรรมดา ด้ายที่บิดงอและด้านซ้ายจะสอดประสานกันและลอยอยู่ในลักษณะที่สร้างสันสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ และกลวงในเนื้อผ้า
12. Pile Weave
ผ้าทอที่ใช้ทำผ้าขนนุ่มซึ่งดูดซับและเป็นฉนวนได้ดี
13. Jacquard Weave
เป็นการทอที่สวยงามด้วยการออกแบบที่ซับซ้อนและมีสีสันที่ทอลงในผ้า ผ้าทอนี้ผลิตบนเครื่องทอผ้า jacquard การทอทำให้ได้ผ้าที่มีความแข็งแรงและเงางามและมีรูปลักษณ์ที่หรูหรา Jacquards สามารถทำสีเดียวหรือผสมสีและสามารถใช้เพื่อสร้างลวดลายที่เรียบง่ายและซับซ้อนได้ ส่วนมากที่ด้านหลังของ jacquard คือภาพสะท้อนของลวดลายที่ด้านหน้า
14. การทอแบบด๊อบบี้ ( Dobby Weave )
เป็นการทอแบบลายสานธรรมดาที่มีลวดลาย ขนาดเล็กหรือ ลวดลายเรขาคณิต ใช้เครื่องจักรด๊อบบี้พิเศษเพื่อผลิตผ้าทอแบบนี้ ผ้าที่ทอด้วยวิธีนี้ค่อนข้างแบนและละเอียด
15. การทอผ้าเครป ( Crepe Weave )
การสานชนิดหนึ่งที่ส่งผลให้มีลักษณะเป็นก้อนกรวดแตกผิดปกติโดยใช้เส้นด้ายบิดสูงและเป็นวิธีการทอแบบพิเศษ
16. Lappet Weave
เป็นวิธีการสร้างรูปจักรเย็บปักถักร้อยที่ทำด้วยเครื่องจักรบนพื้นผ้าโดยการใช้ด้ายพื้น หมุนสานสานที่คล้ายกันซึ่งมีการนำด้ายด้านซ้ายมาใช้ คล้ายกับวิธีการเย็บปักถักร้อย
17. Tapestry Weave
ทำโดยเครื่องทอผ้า jacquard แต่ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการทอมือ มีการออกแบบที่ซับซ้อนมากปกติจะทำซ้ำเพียงครั้งเดียว ข้อที่โดดเด่นคือการออกแบบที่ซับซ้อน ด้วยการเปลี่ยนสีจำนวนมากเกิดจากเส้นด้ายพุ่งและเส้นพื้นสลับกัน ใช้กับผ้าแขวนผนังและพรม
18. การทอผ้าลายทาง ( Striped Weave )
เป็นการออกแบบผ้าที่คุ้นเคย แต่การเพิ่มความน่าสนใจเล็กน้อยจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งทอ เช่น การออกแบบลายพื้นหลังเป็นลายสานธรรมดาในสีอ่อนเข้มพร้อมแถบเน้นเสียงในหน้าคู่ด้วยสีสันที่สดใสยิ่งขึ้น
19. การทอผ้าตราหมากรุก ( Checquered Weave )
การทอแบบนี้ทำให้ดูสวยงามบนเนื้อผ้า เป็นผ้าตาหมากรุกและลายสก๊อต
20. การทอผ้า 2 ชั้น ( Double Cloth Weave )
ในเทคนิคการทอผ้านี้ผ้าสองผืนจะถูกยึดเข้าด้วยกันกับเส้นด้ายอีกชุดหนึ่ง บางครั้ง จะแยกกันเช่น ผ้ากำมะหยี่
Reference Website: